ข้อแนะนำเรื่องการส่งของกลับ
ข้อแนะนำเรื่องการส่งของกลับไปให้คนขาย มีดังนี้นะครับ
1.การคืนสินค้าในครั้งนี้ เราไม่ต้องกลัวคนขายจะตุกติก เพราะว่า เป็นการตกลงโดยมีทางอีเบย์ดูแลอยู่ ( คือหมายความว่า เราไม่ต้องกลัวว่า ถ้าส่งของไปให้ก่อน แล้วคนขายจะไม่ยอมให้เงินเรา / เพราะคนขายเขาก็กลัวเราตุกติกเหมือนกัน คือเขาก็กลัวว่าถ้าเขาโอนเงินให้เราก่อน แล้วเราไม่ส่งของให้เขา โดยแกล้งทำเป็นว่าของหายระหว่างเดินทาง ฯลฯ )
2.แต่อีเบย์จะมีเวลาดูแลให้เราแค่ 30 วัน ( นับจากวันที่เราตกลงกันกับคนขายว่าจะมีการส่งของคืน )
3.อย่าส่งทางเรือ เพราะว่า อีเบย์เขามีเวลาดูแลธุรกรรมครั้งนี้ให้เราแค่ 30 วัน ( ตามที่พูดไปในข้อ 2 ) / ถ้าเราส่งทางเรือ แล้วมันใช้เวลา 45 - 60 วัน ซึ่งถ้าคนขาย "อ้างว่า" ไม่ได้รับพัสดุ ( แต่ความจริง ได้รับพัสดุแล้ว แต่โกหกว่าไม่ได้รับ ) เราก็จะลำบาก เพราะว่ามันหมดระยะเวลาการดูแลของอีเบย์ไปแล้ว คือเลย 30 วันไปแล้ว
ที่ต้องขอเน้นคือข้างล่างนี้ครับ
* * * ให้ส่งทางบริษัทไปรษณีย์ไทยก็ได้ครับ ( เพราะว่าทีมงานเคยส่งของไปให้ลูกค้าที่ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆด้วยบริษัทไปรษณีย์ไทย เป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งลูกค้าก็ได้รับของตามปกติดีครับ ) แบบลงทะเบียนธรรมดาก็ได้ หรือแบบด่วนก็ได้ แล้วแต่งบของเรา / หรือจะใช้ DHL หรือ FedEx ก็ได้
* * * ห่อของให้รัดกุม ,แน่นหนา อย่าให้ของแตกหักระหว่างการเดินทาง / เพราะถ้าของแตกหักระหว่างการเดินทาง ทางผู้ขายเขาจะ "ถ่ายภาพ" มายืนยันกับเราว่าสินค้าในกล่องพัสดุนั้นเสียหาย และเขา ( คือผู้รับ ) จะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น เพราะเป็นความผิดของเรา ( คือผู้ส่ง ) ที่หีบห่อพัสดุไม่ดีเอง
* * * คุณลูกค้าต้องถ่ายภาพด้วยนะครับ ( สำคัญมาก )
การถ่ายภาพนี้ ก็คือหลักฐานที่เราจะแนบไปกับเมลล์ว่าเราได้ส่งของเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งรูปที่เราแนบไปด้วยนั้น จะต้องมีลักษณะดังนี้คือ
ต้องถ่ายให้มองเห็นชื่อและที่อยู่ผู้รับและผู้ส่ง - ในภาพนั้น ต้องมองเห็นชื่อว่าผู้ส่งเป็นชื่อและที่อยู่ของเรา และผู้รับคือชื่อและที่อยู่ที่คนขายระบุมา ( ไม่อย่างนั้น คนขายอาจอ้างว่าเขายังไม่ได้รับของ ( ทั้งๆที่ได้รับไปแล้ว ) / โดยอ้างว่าภาพที่เราส่งไป ก็เป็นการส่งไปให้คนอื่น ไม่ใช่ส่งให้เขา ( คือ คนขายที่ตุกติก อาจอ้างอย่างนี้ เพราะบังเอิญว่าเราดันถ่ายชื่อและที่อยู่ของเขาบนกล่องไปรษณีย์ไม่ชัด ) )
ในภาพถ่ายนั้น ต้องมี หลักฐานที่แสดงว่าได้เกิดการส่งของ ขึ้นแล้วจริงๆ / อธิบายได้ดังนี้ครับ ...
( ภาพบน ) "อย่าถ่ายแบบข้างบนนี้"
แม้ว่าในภาพข้างบนนี้ จะปรากฏชื่อคนส่งและคนรับชัดเจน แต่เหตุผลที่ทีมงานบอกว่าอย่าถ่ายแบบที่เห็นในภาพข้างบนนี้ ก็เพราะว่า ถ้าคุณส่งรูปข้างบนนี้ไปให้คนขายดูล่ะก็ คนขายเขาไม่เชื่อหรอกครับ ว่าคุณส่งพัสดุให้เขาจริงๆ / ทำไมคนขายถึงไม่เชื่อ?
ที่คนขายไม่เชื่อก็เพราะว่า คนขายเขาคิดว่าคุณแค่ไปเอากล่องที่ไหนมาก็ไม่รู้ แล้วก็แค่เอาปากกาเขียนที่หน้ากล่อง ( เหมือนที่เห็นในรูปข้างบนนี้ ) แล้วก็ถ่ายรูป แล้วก็อ้างว่าส่งพัสดุให้เขาแล้ว แต่ความจริงยังไม่ได้ส่งหรอก ( คนขายเขาอาจจะคิดแบบนี้ )
แล้วต้องทำอย่างไรคนขายถึงจะเชื่อว่าเราได้ส่งของให้เขาจริงๆ?
คำตอบเป็นไปดังข้างล่างนี้ครับ ...
( ภาพบน ) ในภาพถ่ายนั้น จะต้องมีหลักฐาน "การรับเรื่อง" โดยบริษัทไปรษณีย์ หรือบริษัทขนส่งเรียบร้อยแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ต้องมีการออกเลขทะเบียนให้ แล้วแปะไว้ที่หน้ากล่อง เหมือนที่ ลูกศรสีเขียว ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้ ( แล้วคุณจึงค่อยถ่ายรูป )
( ภาพบน ) ข้างบนนี้คือตัวอย่าง "ของจริง" ที่เราส่งสินค้ากลับไปให้คนขายนะครับ คือทุกขั้นตอนครบแล้ว ( หมายถึงว่าให้ไปรษณีย์ไทยรับเรื่องไว้แล้ว ) แล้วเราก็ถ่ายภาพ
พอถ่ายภาพเสร็จแล้ว ก็จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนในภาพข้างบนนี้นั่นแหละครับ เสร็จแล้ว คุณก็ส่งภาพข้างบนนี้ มาให้ทีมงาน เพื่อให้ทีมงาน Forward ภาพข้างบนนี้ไปให้คนขายดู เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราได้ส่งภาพให้เขาแล้ว
( ภาพบน ) ภาพ ก. |
( ภาพบน ) ภาพ ข. |
หรือถ้าเป็นใบเสร็จขนาดใหญ่แบบที่เห็นในภาพข้างบนนี้ คุณผู้อ่านก็ต้อง ถ่ายภาพตอนที่หีบห่อเรียบร้อยแล้ว ( คือให้ถ่ายรูปเหมือนใน ภาพ ข. ข้างบนนี้ )
หรือจะถ่ายภาพใบเสร็จตอนที่เขียนเสร็จแล้ว ( เหมือนใน ภาพ ก. ) แนบไปด้วยก็ได้ จะได้อ่านชื่อผู้ส่งและผู้รับได้ ( หรือจะไม่ถ่ายก็ได้ ) / แต่ที่สำคัญคือคุณจะต้องมีภาพแบบใน ภาพ ข. ส่งให้คนขายดูน่ะครับ ( แต่ถ้า ภาพ ข. มันเห็นชื่อคนรับและคนส่งไม่ชัด ก็ควรส่ง ภาพ ก.ไปด้วยก็จะเป็นการดีครับ )
หลังจากส่งพัสดุเรียบร้อยแล้ว ขอให้คุณลูกค้าส่งเลข Track พร้อมภาพถ่ายที่คุณถ่ายไว้มาให้ทีมงาน ( แล้วทีมงานจะส่งไปให้คนขายทางเมลล์เองครับ )
หมายเหตุ - การทำธุรกรรมกับต่างประเทศนั้น ไม่เหมือนการส่งพัสดุให้กับคนที่อยู่ในประเทศไทยด้วยกัน / การส่งพัสดุไปต่างประเทศ มันมีความซับซ้อน และอ่อนไหวมาก เพราะเราก็ไม่รู้ว่าคนขายจะตุกติกกับเราหรือเปล่า และคนขายก็ไม่รู้ว่าเราจะตุกติกกับเขาหรือเปล่า ดังนั้น ถ้าจะมีหลักฐานตรงไหนที่เราสามารถเก็บไว้ได้ เราก็ควรเก็บเอาไว้ก่อน ยกตัวอย่างเช่นภาพถ่ายกล่องพัสดุเป็นต้น
เพราะการส่งพัสดุนั้น พอส่งแล้ว เราก็เรียกกลับมาถ่ายภาพใหม่ไม่ได้ มันไปแล้วไปเลย / ดังนั้นเราจึงควรทำให้ปลอดภัยไว้ตั้งแต่แรก ด้วยการถ่ายภาพอย่างรัดกุมตามที่ทีมงานแนะนำมาข้างต้นนี้ครับ
แล้วถ้าภายหลัง คนขายจะมาตุกติกกับเรา โดยอ้างว่าเขายังไม่ได้รับพัสดุ ( ซึ่งความจริงเขาอาจรับแล้วก็ได้ ) เราก็จะได้งัดเอาภาพถ่ายมาเป็นหลักฐานยืนยันได้นั่นเองครับ
- END -