Monday, March 9, 2020
การฝากซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
การฝากซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
การซื้อสินค้าจากต่างประเทศ มีความแตกต่างจากการสั่งซื้อสินค้าในประเทศไทยเป็นอย่างมาก เหตุผลก็เพราะว่าการซื้อสินค้าในประเทศไทย ถ้า "คนขายเบี้ยว , โกง , ส่งของไม่ตรงกับที่สั่ง" เราก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับคนขายได้เลย หรือจะเดินทางไปเคาะประตูหน้าบ้านคนขายเพื่อด่าประจานเลยก็ยังได้
แต่การซื้อสินค้าจากต่างประเทศจะมีความแตกต่างออกไป
ที่ว่าแตกต่างก็คือว่า การซื้อสินค้าจากต่างประเทศนั้น หาก "คนขายเบี้ยว , โกง , ส่งของไม่ตรงกับที่สั่ง" มันก็จะเป็นปัญหาอย่างยิ่ง
คือถ้าจะดำเนินคดี มันก็จะเป็นคดีระหว่างประเทศ แค่ค่าจ้างทนายทำคดีระหว่างประเทศ ก็เริ่มต้นที่ "หลักแสนบาท" แล้วล่ะครับ / หรือถ้าจะไปเคาะประตูหน้าบ้านคนขาย มันก็ไม่คุ้มกับการที่จะต้องซื้อตั๋วเครื่องบิน เดินทางข้ามประเทศไปหาคนขาย
แต่มันก็ไม่ถึงกับทำไม่ได้หรอกนะครับ เพราะว่าจากการฝากซื้อสินค้าจากต่างประเทศมา 11 ปีนี้ ทีมงานก็ใช้ประสบการณ์ในการซื้อสินค้าต่างประเทศให้กับคุณลูกค้าได้เกือบ 100% เต็ม เพียงแต่ขอให้คุณลูกค้าได้ทำความเข้าใจกับเรื่อง "ความเสี่ยงในการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ" เสียก่อน
เมื่อคุณลูกค้าเข้าใจเรื่อง "ความเสี่ยงในการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ" แล้ว และทำตามคำแนะนำของทีมงาน tuvagroup.com แล้ว คุณก็จะไม่มีปัญหาใดๆกับเรื่องการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศครับ
* * * ผู้ให้บริการรายอื่นๆ มักไม่พูดเรื่องความเสี่ยงให้ลูกค้าฟัง เพราะคิดว่า ถ้าลูกค้าเห็นว่าการฝากซื้อสินค้าจากต่างประเทศ มีความเสี่ยง ก็จะไม่กล้าฝากซื้อสินค้ากับผู้ให้บริการเจ้านั้น / แต่ต่างกับทีมงาน tuvagroup.com นะครับ เรากล้าพูดความจริง แม้ว่าจะให้ลูกค้ากลัวบ้างก็ตาม แต่ความจริงก็คือความจริง *
เอาล่ะครับ เรามาดูเรื่องความเสี่ยงที่ว่านี้กัน โดยจะเรียงลำดับไปเป็นข้อๆนะครับ จะได้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
1.ชนิด
ถ้าเอา ตามทฤษฏี ก่อน ( ยังไม่พูดถึงในแง่ปฏิบัติ ) ทางศุลกากรของประเทศไทยจะวางระเบียบไว้ว่า "ชนิด" ของสินค้าแบบไหน ที่นำเข้าได้ , อย่างไหนนำเข้าไม่ได้ , อย่างไหนนำเข้าได้แต่ต้องมีใบอนุญาตจาก อย. ( เช่นพวกอาหารเสริม )
* * * "ความลับ" ของเรื่องนี้ก็คือว่า ถ้าศุลกากรยึดระเบียบเรื่องนี้เกินไป คือเอาแบบเป๊ะๆ ก็จะไม่มีใครเอาอะไรนำเข้าประเทศได้เลย ยกเว้นพวก Text , ตำรา , หนังสือต่างประเทศ เท่านั้น ( เพราะ Text , ตำรา , หนังสือต่างประเทศ เป็นข้อยกเว้น ตามระเบียบศุลกากร )
ที่ทีมงานบอกว่าเป็น "ความลับ" ก็คือว่า ในทางปฏิบัติ นั้น ทางศุลกากร เขาจะ "ผ่อนปรน" คือไม่ยึดตามระเบียบเป๊ะๆ เพราะหากยึดตามระเบียบเป๊ะๆ คือยึดทุกอย่างที่ไม่ใช่ Text , ตำรา , หนังสือต่างประเทศ ( ที่ไม่ใช่หนังสือต้องห้าม เช่น หนังสือโป้ ,หนังสือวิธีฆ่าตัวตาย ) แล้วล่ะก็ อีกหน่อยก็จะไม่มีใครกล้าซื้อสินค้าจากต่างประเทศผ่านด่านศุลกากรเข้ามา
เมื่อไม่มีคนไทยซื้อสินค้าจากต่างประเทศผ่านด่านศุลกากรเข้ามา ด่านศุลกากร ก็ไม่รู้จะไปเก็บภาษีกับใคร
เมื่อไม่มีภาษีเข้ามาในระบบ การบริหารงานในองค์กรของศุลกากร ก็จะมีปัญหาทันที
ดังนั้น ระบบของศุลกากร ก็จะเข้มบ้าง ผ่อนปรนบ้าง สลับๆกันไป เพื่อ "เลี้ยง" ให้มีคนยังอยากซื้อสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาอยู่ เพราะตราบใดที่ยังมีคนซื้อสินค้าต่างประเทศเข้ามา ทางศุลกากร ก็จะยังมีรายได้จากภาษีเพื่อนำไปใช้ในการบริหารองค์กรได้
ถ้าคุณลูกค้าถามทีมงานว่า "มีดพับ" ขนาดเท่าฝ่ามือ จะนำเข้าได้หรือไม่? อันนี้ ถ้ายึดตามระเบียบศุลกากร มันนำเข้าไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นของมีคม เป็นอาวุธ แต่ในทางปฏิบัติ มันนำเข้าได้ ( คือเป็นการนำเข้าในลักษณะการ "ผ่อนปรน" ของเจ้าพนักงาน แต่ไม่ใช่นำเข้าได้เพราะระเบียบของศุลกากรอนุญาตเอาไว้ ( ซึ่งก็คือ จริงๆแล้ว ระเบียบศุลกากร ไม่ได้อนุญาตเอาไว้แต่อย่างใด แต่ที่นำเข้าได้ ก็เพราะเจ้าหน้าที่ศูลกากร เขา "ผ่อนปรน" ให้คุณ ) - ไม่งงนะครับ )
ก็เหมือนการทำผิดกฏจราจร เช่น ไม่สวมหมวกกันน็อค ซึ่งการไม่สวมหมวกกันน็อคในขณะขับจักรยานยนต์ มันผิดกฏหมายจราจร 100% อยู่แล้ว แต่บางครั้ง เจ้าหน้าที่เขาก็ "ผ่อนปรน" ให้ เช่นขับในซอยอาจจะไม่จับ ฯลฯ
การสั่ง "มีดพับ" ที่ยกตัวอย่างมาเมื่อสักครู่ก็เช่นกัน ถามว่า มันผิดระเบียบศุลกากรไหม มันก็ผิดนั่นแหละ แต่ว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากร เขา "ผ่อนปรน" ไม่จับ
แต่ถ้าคุณลูกค้าจะถามว่า "อะไรบ้างที่ได้รับการผ่อนปรน" อันนี้ทีมงานตอบไม่ได้จริงๆ เพราะถ้าจะเอากันจริงๆ มันก็มีปัญหาเรื่องการนำเข้าทุกชนิดนั่นแหละครับ ( ยกเว้น Text , ตำรา , หนังสือต่างประเทศ )
คือมันต้องใช้ประสบการณ์ที่เคยซื้อสินค้าให้กับลูกค้าก่อนหน้านี้ แล้ว "โดนยึด" แล้วถึงเอามาบอกคุณได้ว่า อันไหนโดนยึด อันไหนไม่โดนยึด / แต่ถ้าทีมงานไม่เคยซื้อสินค้า "ชนิด" ที่คุณถามมา ( เช่น ถามมว่า แว๊กซ์สำหรับขัดรถ นำเข้าได้หรือเปล่า? ) ทีมงานก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน คือมันอาจจะนำเข้าได้ หรือนำเข้าไม่ได้ก็ได้ แต่ที่ทีมงานตอบไม่ได้ ก็เพราะยังไม่เคยมีใครสั่งแว็กซ์สำหรับขัดรถเข้ามานั่นเอง ก็เลยยังไม่มี "ตัวอย่าง" ที่จะทำให้ทีมงานรู้ว่า แว๊กซ์สามารถนำเข้าได้ หรือไม่ได้
2.ขนาด
ลองดูเรื่องของ "อุปกรณ์แต่งรถ" กัน
สมมติว่าคุณสั่งกระจกข้างสำหรับรถยนต์เข้ามา มันก็จะผ่านด่านศุลกากรได้ ( อาจจะต้องเสียภาษีนิดหน่อย )
แต่พอคุณสั่งซื้อ "กระจังหน้า" ซึ่งก็คือเป็นอุปกรณ์แต่งรถเหมือนกัน แต่คุณกลับถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรยึด
จากตัวอย่างที่ยกมานี้ จะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะเป็น "ชนิด" เดียวกัน คือเป็นอุปกรณ์แต่งรถเหมือนกัน แต่สินค้าที่มีขนาดเล็ก หรือไม่เป็นที่ "เตะตาศุลกากร" ก็มักจะผ่านด่านศุลกากรได้ / ส่วนสินค้าที่มีขนาดใหญ่ ถึงขั้น "เตะตาศุลกากร" ก็จะไม่รอด
3.ปริมาณสินค้า
ตามปกติ สินค้าจากต่างประเทศทุกยี่ห้อ ก็มักจะมี "ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย" อยู่แล้วเกือบทุกชนิด ยกตัวอย่างเช่นกางเกงยีนส์ลีวายส์
ตัวแทนจำหน่ายกางเกงยีนส์ยี่ห้อลีวายส์ ก็ต้องทำหนังสือแจ้งกับศุลกากรว่า ห้ามไม่ให้คนไทยซื้อกางเกงยีนส์ลีวายส์จากต่างประเทศเข้ามา ด้วยเหตุที่ว่า ตัวเขา ( หมายถึงตัวแทนคนนั้น ) ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากเจ้าของแบรนด์ลีวายส์แล้ว ว่าเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายกางเกงยีนส์ลีวายส์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ถ้าคนไทยจะซื้อลีวายส์ ก็ต้องซื้อที่เขาเท่านั้น ห้ามนำเข้ามาจากต่างประเทศด้วยตัวเองอย่างเด็ดขาด
"คราวนี้" ให้คุณผู้อ่านย้อนกลับไปดูหัวข้อก่อนหน้านี้ คือว่า ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากร เขาก็ต้องผ่อนปรนบ้าง เพื่อ "เลี้ยง" ให้ยังมีคนซื้อลีวายส์จากต่างประเทศเข้ามา แล้วเขาก็จะได้มีรายได้จากภาษีการนำเข้าบ้าง
เพียงแต่คนที่ซื้อเข้ามานั้น ให้ซื้อแบบนำมาใช้เอง "อย่านำเข้ามาเพื่อการค้า" อย่างเด็ดขาด
เพราะถ้านำเข้ามาเพื่อการค้า เช่นซื้อกางเกงยีนส์ลีวายส์ "5 ตัว" แล้วเอามาขายต่อในประเทศไทย แล้วไปขายราคาถูกกว่า "ตัวแทนลีวายส์ในประเทศไทย" เข้า / แล้ว ข่าว "เข้าถึงหู" ตัวแทนลีวายส์ในประเทศไทย ไอ้เจ้า ตัวแทนคนนี้ ก็อาจร้องเรียนเพื่อเล่นงานเจ้าหน้าที่ศุลกากรคนนั้นก็ได้ ( ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ศุลกากรคนที่ให้ผ่านกางเกงลีวายส์ 5 ตัวนั้นเข้ามา )
ดังนั้น ถ้าคุณสั่งซื้อกางเกงยีนส์ลีวายส์ "5 ตัว" เข้ามาจริงๆ เจ้าหน้าที่ศุลกากร ก็จะเก็บภาษีคุณอย่างหนัก เพื่อทำให้ราคากางเกงยีนส์ลีวายส์ "5 ตัว" นั้น เมื่อบวกรวมกับค่าภาษี ก็จะมีราคาเท่าๆกับราคาที่ซื้อได้จาก "ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย" เลย
ยกตัวอย่างเช่น ต้นทุนของลีวายส์จากต่างประเทศมาคือตัวละ 2,000 บาท แล้วตัวแทนลีวายส์ในประเทศไทย เอามาขายตัวละ 3,000 บาท
คือถ้าซื้อลีวายส์ "จำนวน 5 ตัว" จากตัวแทนลีวายส์ในประเทศไทย ลูกค้าก็จะต้องใช้เงิน 15,000 บาท ( มาจาก 3,000 x 5 )
คราวนี้ ถ้ามีคนซื้อลีวายส์แบบเดียวกันนี้ "5 ตัว" จากต่างประเทศเข้ามาโดยตรง ก็จะใช้เงินแค่ 10,000 บาท ( มาจาก 2,000 x 5 )
ดังนั้น เมื่อคุณนำเข้ากางเกงยีนส์ "5 ตัว" นี้เข้ามา คุณก็จะโดนภาษีประมาณ 5 พันบาท
เหตุที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรเขาคิดภาษีกับคุณตั้ง 5 พัน ก็เพื่อให้ เมื่อรวมกับค่าสินค้า ( ซึ่งมีราคา 10,000 บาท ) แล้ว ราคารวมทั้งหมด ( คือค่าสินค้า 10,000 + ค่าภาษี 5,000 บาท ) ก็จะเท่ากับ 15,000 บาท ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่ลูกค้าซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายลีวายส์ในประเทศไทยนั่นเอง
การที่เจ้าหน้าที่ศุลกากร เก็บภาษีโหดๆแบบนี้ เขาก็จะไม่โดนร้องเรียนจากตัวแทนผู้จำหน่ายลีวายส์ในประเทศไทย
* * * ถ้าคุณซื้อลีวายส์ 5 ตัว แล้วโดนภาษี 5,000 บาท ก็แสดงว่าภาษีตกตัวละ 1,000 บาท ถูกไหมครับ? "แต่" ถ้าคุณซื้อเข้ามาแค่ตัวเดียว ( คือเอามาใช้เอง ไม่ได้เอามาเพื่อการค้า ) คุณอาจไม่ต้องเสียภาษีเลยสักบาทก็ได้ หรือถ้าจะเสีย ก็อาจจะแค่ 200 บาทพอเป็นพิธี ทั้งๆที่ก็เป็นยีนส์แบบเดียวกัน รุ่นเดียวกัน / คือหมายความว่า ยีนส์แบบเดียวกัน รุ่นเดียวกัน ถ้านำเข้าแค่ 1 ตัว คุณอาจจะไม่ต้องเสียภาษีเลยก็ได้ แต่ถ้านำเข้า 5 ตัว คุณต้องเสียภาษีตัวละ 1,000 บาท - ไม่ งง นะครับ
4.เวบที่ขายสินค้า
แม้ว่าคุณจะวางแผนไว้อย่างดีเรื่อง "ชนิด" / เรื่อง "ขนาด" / เรื่อง "ปริมาณ" แล้ว แต่ถ้าคุณไปเจอเวบมิจฉาชีพ คุณก็อาจเสียเงินไปฟรีๆ ( คือโอนเงินให้มันแล้ว มันก็ปิดเวบหนีไปเลย )
หรือบางเวบ แม้ว่าจะไม่โกง แต่ก็ไม่สนใจบริการหลังการขายเลย คือไม่ตามเรื่องให้ลูกค้าเลย ซึ่งคุณจะเจอเวบพวกนี้บ่อยๆ
แต่ถ้าสมมติว่า คุณผู้อ่านอยากได้สินค้าจากเวบอื่นๆ ที่ไม่ใช่เวบที่ปลอดภัย ( คือไม่ใช่ เวบ ebay.com , amazon.com , aliexpress.com ) คุณก็ต้อง "เสี่ยงเอาเอง" นะครับ คือมันอาจจะไม่มีปัญหาอะไรก็ได้ครับ ( คำว่า "เสี่ยงเอาเอง" ในที่นี้ก็หมายถึงว่า คุณก็ขอให้ทีมงานโอนเงินซื้อสินค้าให้กับคุณได้ เพียงแต่ว่า "ถ้าเกิดปัญหา" ขึ้นมาภายหลัง เช่นโดนโกง หรือมีปัญหาอย่างอื่นตามมา อันนี้ ทีมงานก็ไม่รับผิดชอบให้คุณนะครับ เพราะถือว่า ทีมงานได้บอกคุณไว้ก่อนแล้ว แต่คุณอยาก "เสี่ยง" เอง )
5.เวบผู้ให้บริการ รับฝากซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
คุณคิดถูกแล้วที่เลือกเวบ tuvagroup.com เพราะว่าเวบของเราซื้อสินค้าให้ลูกค้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551
คือถ้าเวบ tuvagroup.com ของเรา "งี่เง่า" "โกง" ฯลฯ ก็คงอยู่มาไม่ได้นานขนาดนี้หรอกครับ / เมื่อจะมีผู้ให้บริการเจ้าใหม่ๆเกิดขึ้นในวงการ เขาก็ต้องพยายาม "ใส่ไฟ" "สาดโคลน" เพื่อไล่ทีมงาน tuvagroup.com ให้หลุดออกไปจากวงการ แล้วตัวเองก็จะได้ขึ้นมาแทนที่ / แต่เวบ tuvagroup.com ก็อยู่มาได้นานขนาดนี้ นั่นก็แสดงว่าที่เขาใส่ไฟ หรือสาดโคลนนั้น มันไม่เป็นจริง
มันก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง จริงไหมครับ? ( คือคุณต้องลองฝากซื้อสินค้าดูสักครั้ง )
มีบางรายการ ที่ทีมงานจำเป็นต้องปฏิเสธไป คือไม่รับงานซื้อให้ ( ซึ่งจริงๆ หากทำได้ ทีมงานก็จะรับทำอยู่แล้วครับ แต่บางคร้้ง ดูแล้วมันทำไม่ได้จริงๆ ) แล้วคุณลูกค้าคิดว่าจะลองหันไปหาผู้ให้บริการเจ้าอื่น ข้างล่างนี้คือผู้ให้บริการที่ทีมงานแนะนำว่า "ควรหลีกเลี่ยง" นะครับ
ผู้ให้บริการที่ "พูดในสิ่งที่ลูกค้าอยากได้ยิน" เช่นรับรองผล 100% ซื้อได้แน่นอนครับ / ถ้าเจอพวกนี้ คุณลองขอ "เก็บเงินปลายทาง" ดูสิครับ ก็บอกเองว่ารับรองผล 100% ทำไมจะให้เก็บเงินปลายทางไม่ได้?
การสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ มีความเสี่ยง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ถ้าคุณเป็นคนขี้วิตกกังวล ทีมงานแนะนำว่าให้หาซื้อสินค้าที่คุณอยากได้ในประเทศไทยดีกว่าครับ เพราะว่าการซื้อสินค้าต่างประเทศมันก็ต้องมีความเสี่ยงอยู่บ้าง
คือถ้าการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ มัน "ง่าย" แค่กรอกบัตรเครดิตแล้วโอนเงินไปให้คนขาย แล้วก็รอรับของเลย ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ก็คงไม่มีใครมาใช้บริการกับเวบ tuvagroup.com หรอกครับ
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการ ก็คือลูกค้าที่เคยโดน "คนขายโกง" มาแล้วทั้งนั้น / เขาถึงได้รู้แล้วว่าการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศมันไม่หมู
แม้ว่าการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้นะครับ
เพราะทีมงาน tuvagroup.com เองก็สั่งสมประสบการณ์มายาวนานเป็น 10 ปีแล้ว ก็ย่อมไม่ธรรมดาเช่นกัน
สรุป ...
สำหรับการฝากซื้อสินค้าของคุณผู้อ่านนั้น ทีมงานขอสรุปสั้นๆแค่ 4 ข้อ คือ
1.ควรสั่งซื้อจากเวบที่มีตัวกลางที่น่าเชื่อถือ เช่น เวบอีเบย์ , amazon หรือ aliexpress
2.ควรสั่งซื้อแค่ 1 ชิ้นก่อน เพื่อจะได้รู้ว่า "ชนิด" และ "ขนาด" ของสินค้าผ่านไหม
3.ถ้าการสั่งซื้อครั้งแรกผ่านไปด้วยดี คือได้รับสินค้าตามปกติ ก็แสดงว่า "ชนิด" และ "ขนาด" ผ่าน / อย่างนี้ คุณก็อาจเพิ่ม "ปริมาณ" การซื้อขึ้น เช่น ลองสั่งซื้อเป็น 2 ชิ้น แล้วดูว่าจะมีปัญหาอะไรกับศุลกากร ตอนที่นำเข้าไหม
4.ถ้าซื้อ 2 ชิ้นผ่าน ครั้งต่อไปก็เพิ่มเป็น 3 ชิ้น ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอจุดสมดุลว่าสั่งซื้อได้มากที่สุดกี่ชิ้นกันแน่ ( โดยที่ไม่มีปัญหากับศุลกากร )
- END -
Labels:
หมวด-7-บริหาร