script async='async' crossorigin='anonymous' src='https://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js?client=ca-pub-4162361834395246'/> Tuvagroup: August 2020

Monday, August 17, 2020

การเดินทางของพัสดุ ที่คาดเดาไม่ได้

 
การเดินทางของพัสดุ ที่คาดเดาไม่ได้


       "อย่าสัญญากับแฟน" ว่าจะได้รับของขวัญเป็นพัสดุจากต่างประเทศ ภายในวันเกิด  /  "อย่าสัญญากับพ่อแม่" ว่าจะของที่ซื้อมาจากต่างประเทศ จะได้รับภายในวันนั้น วันนี้ ( เช่น วันเทศกาล ,วันเกิด ฯลฯ )  /  "อย่าสัญญากับลูกค้า" ว่าจะได้รับสินค้าจากต่างประเทศ ภายในวันนั้น วันนี้ -  ตราบใดที่คุณยังไม่ได้รั้บพัสดุสินค้า ( จากต่างประเทศ ) นั้นอยู่ในมือ

       เหตุผลที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะว่า จากการซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศมา ขึ้นปีที่ 14 ( และซื้อเกือบทุกวัน ) นี้  ประสบการณ์บอกผมชัดเจนเลยว่า การส่งพัสดุสินค้าจากต่างประเทศ มันอยู่เกินความคาดเดา มันไม่เหมือนกับการซื้อสินค้าแบบออนไลน์ภายในประเทศไทยด้วยกันเอง ( การซื้อสินค้าออนไลน์ภายในประเทศไทยด้วยกันเอง จะมีความแม่นยำเรื่องวันเวลาการรับพัสดุมากกว่าเยอะเลยครับ - หมายถึง กำหนดเวลาเรื่องการได้รับพัสดุสินค้า )

       ถ้าได้รับสินค้าไม่ตรงกับวันที่กำหนดไว้  ลูกค้าก็มักจะโทษผู้ขาย ( หมายถึงผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ ) ว่าไม่ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ ( เข่น ผู้ขายให้สัญญากับลูกค้าว่าจะได้รับของวันนั้น วันนี้ แต่ความจริงแล้ว การได้รับของช้ากว่าที่กำหนดนั้น "มันไม่ใช่ความผิดของผุ้ขาย"

       "ระบบขนส่ง" ต่างหาก ที่เป็นผู้ทำให้เกิดความผิดพลาด  /  คำว่า "ระบบขนส่ง" ในที่นี้ ผมเหมายถึง บริษัทรับส่งของ ที่จะรับสินค้าจากมือของผู้ขาย เอาไปส่งให้ถึงมือของลูกค้าอีกทีหนึ่ง  /  "ระบบขนส่ง" ที่ผมหมายถึงนี้ ก็ได้แก่ บริษัท DHL , FedEx , UPS ฯลฯ 

       สมมติว่า คุณในฐานะลูกค้า ซื้่อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศจาก Mr.A  /  แล้วปรากฏว่าสินค้าส่งถึงมือคุณที่ประเทศไทย "ไม่ตรง"ตามกำหนดเวลาที่นัดไว้  /  คุณก็บอกว่า Mr.A.ใช้ไม่ได้เลย ไม่ทำตามที่ตกลงไว้  แล้วคุณก็เปลี่ยนไปซื้อสินค้ากับ Mr.B 

       ซึ่งครั้งแรก Mr.B ก็ส่งสินค้าได้ทันตามกำหนด แต่พอครั้งที่ 2 Mr.B ก็ส่งสินค้าไม่ทันตามกำหนดอีก  คุณก็เปลี่ยนไปซื้อสินค้าจาก Mr.C อีก


       การทำเช่นนี้ คือ การเปลี่ยนคนขาย หรือการเปลี่ยนเจ้าที่ซื้อนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับ เพราะว่า คนขายทุกคน ไม่ว่าจะเป็น Mr.A ,Mr.B และ Mr.C เขาก็ไม่ได้เป็นผู้ส่งสินค้าให้คุณด้วยตัวเอง  ทั้ง Mr.A ,Mr.B และ Mr.C ต่างก็ใช้บริการของ "ระบบขนส่ง" กันทั้งนั้น ( "ระบบขนส่ง" ก็ได้แก่ บริษัท DHL ,FedEx ,UPS ฯลฯ )

       แล้วคราวนี้ พอ "ระบบขนส่ง" มันมีความผิดพลาด ( ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว - และผมจะเอาเคสมาให้ดูด้วยในวันนี้ ) คุณจะไปโทษคนขาย ( คนขายคือ Mr.,Mr.B และ Mr.C ) แล้วเปลี่ยนไปซื้อสินค้ากับ Mr.,Mr.E ,Mr.F ก็ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ เพราะว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมัน "เกินความควบคุม ของคนขาย" ไปแล้ว จริงๆแล้ว ความผิดพลาดทั้งหมด มันเกิดจาก "ระบบขนส่ง"

       สิ่งที่คุณจะต้องทำ สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศก็คือ ต้อง "ทำใจ" เกี่ยวกับเรื่องการรับพัสดุสินค้า ที่เป็นไปได้ว่า อาจจะได้รับไม่ตรงตามกำหนดเวลา 

       ถ้าคุณ "ทำใจ" ไม่ได้ ( หมายถึง คุณทำใจเกี่ยวกับเรื่องการรับพัสดสินค้าที่ไม่ตรงตามกำหนดเวลาไม่ได้ ) คุณก็ต้องซื้อสินค้าจากพ่อค้าคนกลางที่อยู่ในประเทศไทยเอา  /  การซื้อสินค้าจากพ่อค้าคนกลาง มีข้อดี คือ คุณจะได้รับของตรงเวลา แต่คุณก็ต้องโดนบวกค่าคนกลางประมาณ 20% ของราคาสินค้า

       ( พ่อค้าคนกลาง ก็คือ บุคคลธรรมดา ที่สั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ แล้ว พ่อค้าคนกลาง ก็ "ทำใจ" เกี่ยวกับการได้รับสินค้าไม่ตรงเวลาเหมือนๆกับคุณนั่นแหละ  /  เมื่อได้รับสินค้าแล้ว ก็เอามาวางขายอีกทีหนึ่ง  โดยบวกค่า "ทำใจ" ที่ว่านั้น เอาไว้ 20% นั่นเอง )

       ถ้าคุณไม่อยากเสียเงิน 20% ให้ พ่อค้าคนกลาง คุณก็ต้องสั่งซื้อเองโดยตรงจากต่างประเทศ  /  และเมื่อคุณสั่งซื้อสินค้าด้วยตัวเองโดยตรงจากต่างประเทศ คุณก็ต้อง "ทำใจ" เรื่องการรับสินค้าไม่ตรงตามกำหนดเวลา นั่นเองครับ - มองเห็นภาพนะครับ


       ในครั้งนี้ ผมจะเอาตัวอย่างของจริงของการส่งพัสดุสินค้าจากต่างประเทศมาให้ดูเคสหนึ่งนะครับ  เพื่อจะได้สนับสนุนคำพูดของผมที่บอกว่าการส่งพัสดุสินค้าจากต่างประเทศมันอยู่เหนือความคาดเดา คือเราจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น? และจะได้รับสินค้าเมื่อใด? 


* * * หมายเหตุ - ภาพสินค้า , ข้อความจากอีเมล , ภาพการเช็คสถานะสินค้า ( Tracking Number ) และภาพทุกอย่างที่คุณผู้อ่านจะได้เห็นในหน้าเวบนี้ ล้วนแต่เป็นภาพที่สำเนามาจากเหตุการณ์จริง , นำมาจากเคสของจริงทั้งสิ้น ไม่มีการสมมติขึ้นมาแต่อย่างใดนะครับ

Puma One 17.1 FG - Atomic Blue/Puma White/Safety Yellow

       ( ภาพบน ) สินค้าที่ซื้อในครั้งนี้ เป็นรองเท้ารุ่น Puma One 17.1 FG - Atomic Blue/Puma White/Safety Yellow จำนวน 1 คู่แบบที่เห็นในภาพข้างบนนี้นะครับ ( ภาพสินค้าข้างบนนี้ คือ
"ของจริง" ที่ทำการสั่งซื้อในเคสนี้เลยนะครับ )

       ที่เอาภาพสินค้ามาให้ดูก่อน ก็เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นว่า มันไม่ใช่สินค้าที่มีน้ำหนักมาก หรือมีความเสี่ยงต่อการนำเข้าอะไรเลย ก็เป็นสินค้าทั่วไปที่เราสามารถสั่งซื้อได้ตามปกติ 

ภาพบน ) "ค่าส่ง" สินค้ามาประเทศไทย


        ( ภาพบน ) "ค่าส่ง" สินค้ามาประเทศไทย คือ 37 ปอนด์ หรือ 1,510 บาท ปรากฏตรงที่ ลูกศรสีม่วง ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้

       ค่าส่งขนาดนี้ ( คือ 1,510 บาท ) ก็นับว่า "แพงเอาเรื่อง" เหมือนกันนะครับ สำหรับรองเท้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ขนาดไม่ใหญ่มาก และมีน้ำหนักเบา แบบนี้  /  ถ้าเป็นราคาค่าส่งตามปกติ หรือปานกลาง ก็จะอยู่ในราวๆ 600 บาท  ดังนั้น จึงถือได้ว่าค่าส่งที่คนขายเขาคิดในเคสนี้ "แพงเอาเรื่อง"

       ที่เอาค่าส่งมาให้ดูนี้ ก็เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นว่า ทีมงานเลือกวิธีส่งที่ค่างข้างแพงเลยนะครับ ไม่ใช่เลือกส่งแบบถูกๆ หรือส่งฟรี แต่อย่างใด


ลัดขั้นตอนมาถึง ตอนที่สั่งซื้อเสร็จแล้ว

ข้างล่างนี้ )

 ( ภาพบน ) ประวัติการสั่งซื้อ - ที่ปรากฏหลังสั่งซื้อเสร็จแล้ว 

      ( ภาพบน ) หลังจากที่ผมสั่งซื้อรองเท้านี้เสร็จแล้ว ทางเวบ prodirectrugby.com เขาก็ลงบันทึกรายละเอียดการสั่งซื้อ ลงไปในประวัติการสั่งซื้อของผม - เหมือนที่เห็นในภาพข้างบนนี้

       ในการซื้อสินค้ารองเท้าในครั้งนี้ ผมได้หมายเลขธุรกรรม ( Order Number ) คือ 37511010 ปรากฏตรงที่ ลูกศรสีส้ม-เหลือง ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้นะครับ

       ที่ผมเอาหมายเลขธุรกรรม ( Order Number ) มาให้ดู ก็เพื่อตอนที่ผมได้รับเลข Tracking Number จากเวบแล้ว ผมจะได้ยืนยันให้คุณผู้อ่านให้ได้เห็นว่ามันเป็นสินค้าตัวเดียวกัน กับที่เขาจะส่งสินค้าให้ ( คือ จะมีเลขธุรกรรมตรงกัน ระหว่างประวัติการสั่งซื้อสินค้า กับเลขธุรกรรม ที่ไปอยู่กับคำยืนยันเรื่้องการส่งสินค้า - ไม่ต้อง งง นะครับ อ่านไปเรื่อยๆก่อน ) 
เป็นการยืนยันว่าผมไม่ได้มั่ว คือผมไม่ได้ Make เคสนี้มาให้ดูแบบมั่วๆ  ทุกอย่างเป็นของจริงหมดนะครับ


ภาพบน ) อีเมลจาก prodirectrugby.com แจ้งว่าส่งพัสดุสินค้าให้แล้ว

        ( ภาพบน ) ต่อมา ทางเวบ prodirectrugby.com ก็มีอีเมลมาแจ้งกับเราว่า ได้ส่งพัสดุสินค้าให้แล้ว  และถ้าเราต้องการจะดูสถานะสินค้าก็สามารถคลิ๊กดูได้เลย

       ดังนั้น เราก็คลิ๊กดูสถานะสินค้าตรงที่ ลูกศรสีม่วง ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้ 


ภาพบน ) ข้อมูลของเวบ prodirectrugby.com เกี่ยวกับเลข Tracking Number


      ( ภาพบน ) เมื่อคลิ๊กไปที่ลิงก์ในภาพก่อนหน้านี้ ก็จะมีหน้าเว็บปรากฏขึ้นมาใหม่ เหมือนที่เห็นในภาพข้างบนนี้

       ซึ่งจากข้อมูลที่เห็นในหน้าเว็บ ตรงที่ ลูกศรสีส้ม-เหลือง ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้ ก็จะเห็นว่า เขาให้ข้อมูลว่าเลข Order คือ 37511010 ซึ่งก็ตรงกับหมายเลขธุรกรรม ( Order Number ) ที่เราได้รับแจ้งก่อนหน้านี้ 

       ผมเอาเรื่องเลข  Order คือ 37511010 มาให้คุณผู้อ่านดู ก็เพื่อจะยืนยันว่าข้อมูลข้างบนนี้ เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นการสั่งซื้ออันเดียวกันกับรายการรองเท้าที่บอกไว้ตอนต้นของหน้าเวบน่ะครับ ( หมายถึงว่า ผมไม่ได้มั่วมา ) 




       ( ภาพบน ) จากนั้น ก็ก๊อปปี้เลข Tracking Number ตรงบริเวณที่มี ปีกกาสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้  ซึ่งก็คือเลข 155059216385887


ภาพบน ) https://www.dpd.co.uk/content/how-can-we-help/index.jsp  


       ( ภาพบน ) หลังจากก๊อปปี้เลข Tracking Number ในภาพก่อนหน้านี้มาแล้ว ตอนนี้ เราก็จะหาเว็บที่จะเอาเลข Tracking Number ที่ได้มา - ไปใช้

       เวบที่จะเอาเลข Tracking Number ก็คือเว็บ https://www.dpd.co.uk/content/how-can-we-help/index.jsp  แบบที่เห็นในภาพข้างบนนี้นะครับ




      ( ภาพบน ) ให้ดำเนินการดังนี้

 * * * ตรงที่ ลูกศรสีม่วง ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้ - เราก็ Paste หรือทำการกรอกเลข Tracking Number ที่เราก๊อปปี้เอาไว้ก่อนหน้านี้ ( คือเลข 155059216385887 )  ลงไป


* * * ตรงที่ ลูกศรสีน้ำเงิน-ฟ้า ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้ - คือการกรอกเลขรหัสไปรษณีย์ของผู้รับในไทย ( คือเลข 73110 ของจังหวัดนครปฐม ) ลงไป


* * * 
ตรงที่ ลูกศรสีส้ม-เหลือง ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้ - คือการคลิ๊กไปที่ปุ่ม Track


ภาพบน ) ผลการแสดงสถานะสินค้า


       ( ภาพบน ) ผลของการคลิ๊กไปที่ปุ่ม Track ในภาพก่อนนี้นั้น ก็เกิดหน้าเว็บใหม่ขึ้นมา เหมือนที่เห็นในภาพข้างบนนี้ ซึ่งเป็นผลของการแสดงสถานะพัสดุสินค้า 


ขอแทรกนิดนึงครับ   

       เว็บไซต์ที่ใช้เช็คเลข Tracking Number ในเคสนี้ มี "สองเว็บ" นะครับ ซึ่ง "ให้ผลเหมือนกัน" แต่อาจจะมีการนำเสนอ ( หมายถึงรูปแบบของหน้าเว็บ ) ที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง  และผมก็นำมานำเสนอให้ดูในเคสนี้เพียงเว็บไซต์เดียว เพื่อไม่ให้มันยืดยาวเกินไป

       สำหรับสองเว็บไซต์ ที่ผมพูดถึงนั้น ( หมายถึง สองเว็บไซต์ที่ผมนำเลข Tracking Number ไปเช็ค ) ก็คือ ... ( ข้างล่างนี้ )

Tracking ของ dpd.co.uk

ข้างล่างนี้ )

ภาพบน ) Tracking ของ dpd.co.uk 

       ( ภาพบน ) ใส่เลข Tracking  155059216385887 และเลขรหัสไปรษณีย์ 73110 ที่ลิงก์  https://www.dpd.co.uk/content/how-can-we-help/index.jsp 


Tracking ของ parcelmonitor.com 

ข้างล่างนี้ )


ภาพบน ) Tracking ของ parcelmonitor.com

       ( ภาพบน ) ใส่เลข Tracking 15505921638588  ที่ลิงก์ https://www.parcelmonitor.com/track-it-online/ 


ภาพบน ) ให้ดูเฉพาะตรงส่วนที่มี กรอบสี่เหลี่ยมเส้นขอบประสีม่วง ครอบอยู่ในภาพข้างบนนี้


ภาพบน ) ภาพขยายของส่วนที่อยู่ใน กรอบสี่เหลี่ยมเส้นขอบประสีม่วง ในภาพก่อนหน้านี้


       ( ภาพบน ) ข้างบนนี้ คือส่วนของเลข Tracking Number ที่แสดงสถานะสินค้า ( สินค้าที่ว่านี้ ก็คือรองเท้า 1 คู่ ที่เราสั่งซื้อไป ก่อนหน้านี้ ) 

       เอาล่ะครับ ตอนนี้ เราก็จะเข้าสู่ "ประเด็นหลัก" ที่ผมพยายามจะถ่ายทอดให้คุณผู้อ่านดูแล้วนะครับ 
ขอให้ตั้งใจดูในเนื้อหาต่อไปที่อยู่ข้างล่างนี้ให้ดีนะครับ


* * * ภาพข้างบนนี้ มีขนาดใหญ่หน่อย เพราะผมต้องการให้คุณผู้อ่านได้เห็นผลการเช็คสถานะเลข Tracking Number ตัวจริง แบบ "สมบูรณ์ทั้งหมด" ก่อน  /  แล้วเดี๋ยวในขั้นตอนถัดไป ( ข้างล่างนี้ ) ผมจะจำแนกเป็นวันๆให้ดูเลยนะครับ  

วิเคราะห์ดูสถานะเลข Tracking Number แบบละเอียด

ข้างล่างนี้ )

ภาพบน ) ย้อนไปดูประวัติการสั่งซื้อ ( MY ORDERS )


       ( ภาพบน ) ตอนที่เราสั่งซื้อนั้น เราชำระเงินไปให้คนขาย และคนขายก็บันทึกไว้แล้วว่า วันที่เราชำระเงินคือ วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 07.12.08 นาฬิกา  /  ปรากฏอยู่ตรงบริเวณที่มี กรอบสี่เหลี่ยมเส้นขอบสีม่วง ครอบอยู่ ในภาพข้างบนนี้

       แล้วเดี๋ยวเราจะเอาข้อมูลเรื่องวันชำระเงิน ( ข้างบนนี้ ) ไปเทียบกับสถานะเลข Trackiing Number นะครับ ( ข้างล่างนี้ ... )

 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 22.45 นาฬิกา

       ( ภาพบน ) ภาพข้างบนนี้ ผมไปเอามาจากภาพก่อนหน้านี้ 2 ภาพนะครับ  /  หมายถึงว่า ผมไปเอาภาพข้างบนนี้ แยกมาจากผลการเช็คสถานะภาพใหญ่ ( ที่อยู่ที่ 2 ภาพก่อนหน้านี้ )

       จะเห็นได้ว่า คนขายเจ้านี้ เขาก็ "กระตือรือร้น" ดีนะครับ คือ เราโอนเงินไปให้เขาเมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 07.12.08 นาฬิกา แล้วสถานะ Tracking ก็บอกว่า วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 22.45 นาฬิกา  ( ตามภาพข้างบนนี้ ) ของก็ถึงสนามบินแล้ว คือเข้าไปอยู่ในความรับผิดชอบของ "บริษัทขนส่ง" แล้วตั้งแต่เวลา 22.45 นาฬิกา ของวันเดียวกัน 

       ก็หมายถึงว่า ระยะเวลาจากการที่เราโอนเงินไปให้คนขายคนนี้ ไปถึงเวลาที่สินค้าไปถึงสนามบิน ก็แค่ 15 ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น  
( แสดงว่าคนขายคนนี้ กระตือรือร้นดีมาก )


 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 9 มิถุนายน เวลา 03.53 นาฬิกา

       ( ภาพบน ) พอวันรุ่งขึ้น ( 9 มิถุนายน ) พัสดุสินค้าก็เดินทางออกจากประเทศอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ( ลืมบอกไปว่า ผู้ขายคนนี้ อยู่ที่ประเทศอังกฤษนะครับ )

       ที่เรารู้ ก็เพราะว่า สถานะพัสดุสินค้าที่เราเห็นในภาพข้างบนนี้ บอกไว้ว่าเมื่อ วันที่ 9 มิถุนายน เวลา 03.53 นาฬิกา พัสดสินค้าได้ออกจากประเทศอังกฤษเรียบร้อยแล้ว และสถานะสินค้า ( ข้างบนนี้ ) ยังบอกไว้อีกว่าพัสดุสินค้านี้ มุ่งตรงมายังประเทศไทยเลย 


15 วัน พัสดุสินค้าก็มาถึงประเทศไทย

ข้างล่างนี้ )

 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน เวลา 20.06 นาฬิกา 

        ( ภาพบน ) เลขสถานะข้างบนนี้ บอกว่าพัสดุสินค้าเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว เมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน เวลา 20.06 นาฬิกา

       ก็คือ ใช้เวลาเดินทางจากประเทศอังกฤษ ( ออกจากอังกฤษ วันที่ 9 มิถุนายน เวลา 03.55 นาฬิกา ) มาถึงประเทศไทย ใช้เวลาทั้งหมด 15 วัน

       และจากการแจ้งสถานะข้างบนนี้ ก็บอกว่า พัสดุสินค้าของเรานี้ กำลังอยู่ในขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ศุลกากรไทย ในการตรวจสอบและคำนวณภาษี ( เขาเขียนไว้ในภาพข้างบนนี้ว่า being processed through customs clearance pending the payment of duties and taxes applicable on these goods )


 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 08.55 นาฬิกา 

       ( ภาพบน ) ใน วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 08.55 นาฬิกา ( คือวันรุ่งขึ้น ) พัสดุสินค้าก็ "ยังอยู่ที่ด่านศุลกากร" เหมือนเดิม 


 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 09.05 นาฬิกา

     ( ภาพบน ) ใน เวลา 09.05 นาฬิกา ของวันเดียวกัน  พัสดุสินค้าก็ "ยังอยู่ที่ด่านศุลกากร" เหมือนเดิม 


เวลา 20.20 นาฬิกา ของวันเดียวกัน

พัสดุสินค้าถูกส่งกลับประเทศอังกฤษ

ทั้งๆที่เป็นสินค้าธรรมดา ไม่ใช่สินค้าต้องห้าม หรือผิดระเบียบศุลกากร 

ข้างล่างนี้ )


ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 14.57 นาฬิกา

( พัสดุถูกนำขึ้นเครื่องบิน บินกลับประเทศอังกฤษ 
)


พัสดุสินค้าไปโผล่ที่ "ประเทศ อาหรับเอมิเรส"

และผ่านด่านศุลการเรียบร้อย และไปอยู่ที่สถานที่เตรียมจัดส่ง 


ข้างล่างนี้ )

 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 28 มิถุนายน เวลา 01.43 นาฬิกา 

       ( ภาพบน ) สถานะของพัสดุสินค้าข้างบนนี้บอกว่า วันที่ 28 มิถุนายน เวลา 01.43 นาฬิกา หรือ 3 วัน หลังบินออกจากประเทศไทย ( บินออกจากประะทศไทย เมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน เวลา 14.57 นาฬิกา ) สินค้าไปอยู่ที่ศูนย์แยกสินค้า เพื่อเตรียมจัดส่ง ที่ "ประเทศ อาหรับเอมิเรส"

       ซี่งการที่พัสดุสินค้าไปอยู่ที่ศุนย์แยกสินค้า เพื่อเตรียมจัดส่ง ก็แสดงว่าผ่านด่านศุลกากรของอาหรับเอมิเรส เรียบร้อยแล้ว ถึงได้เตรียมจัดส่งได้ 

       อะไรกันนี่! แค่สินค้ามาอยู่ที่ประเทศไทย 2 วัน แล้วถูกส่งกลับประเทศอังกฤษ ก็ งง มากแล้ว แต่นี่ สินค้าไปโผล่ที่ "ประเทศ อาหรับเอมิเรส"  เอาเข้าไป!



หลังจากนั้น "4 วัน" พัสดุสินค้าไปโผล่ที่ "ประเทศ สิงคโปร์" ต่อ 

โดยผ่านด่านศุลกากร และผ่านศุนย์แยกสินค้า เรียบร้อย

ไปอยู่ในขั้นตอนส่งไปที่บ้านลูกค้าแล้ว


ข้างล่างนี้ )

ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 1 กรกฏาคม เวลา 13.21 นาฬิกา


       ( ภาพบน ) สถานะของพัสดุสินค้าข้างบนนี้บอกว่า วันที่ 1 กรกฏาคม เวลา 13.21 นาฬิกา หรือ 4 วัน หลังจากพัสดุสินค้าไปปรากฏอยู่ที่ขั้นตอนการนำส่งพัสดุสินค้าให้ลูกค้า ที่ "ประเทศ อาหรับเอมิเรส" พัสดุสินค้าก็ไปโผล่ที่ "ประเทศ สิงคโปร์"  ตามที่ปรากฏหลักฐานอยุ่ในสถานะพัสดุสินค้า ที่เห็นในภาพข้างบนนี้ 

       ในภาพข้างบนนี้ การที่สถานะพัสดุสินค้าบอกว่า อยู่ในขั้นตอนการนำส่งให้ลูกค้า ก็แสดงว่า ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบจากศุลกากรประเทศสิงคโปร์ และผ่านขั้นตอนการนำสินค้าไปที่ศุนย์แยกสินค้า ( ที่ประเทศสิงคโปร์ ) เรียบร้อยแล้ว 

       งง มาก ที่สินค้ามาอยู่ที่ประเทศไทย 2 วัน แล้วถูกส่งกลับประเทศอังกฤษ แล้วก็ไปโผล่ที่ "ประเทศ อาหรับเอมิเรส" แล้วก็มาโผลที่ "ประเทศ สิงคโปร์" อีก เอาเข้าไป!


"7 วัน" หลังจากโผล่ที่สิงคโปร์

สินค้าก้กลับมาที่ประเทศไทย


ข้างล่างนี้ )

ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 8 กรกฏาคม เวลา 08.38 นาฬิกา


       ( ภาพบน ) คาดว่า ( เดานะครับ ) ว่า หลังจากพนักงานส่งของที่ประเทศสิงคโปร์ "งง" กับพัสดุสินค้าชิ้นนี้ และหาวีธีส่งให้ลูกค้าในประเทศสิงคโปร์อยู่หลายวัน ก็หาคนรับไม่ได้  ก็เลยเอาพัสดุสินค้ามาส่งคืนที่บริษัทขนส่งนี้

       แล้วบริษั่ทขนส่งนี้ ก็เห็นว่า "อ้าว.. พัสดุสินค้านี้ มันต้องส่งประเทศไทยนี่หว่า" ว่าแล้ว บริษัทขนส่ง ก็ส่งพัสดุสินค้านี้กลับมาที่ประเทศไทย

       สถานะพัสดุสินค้า จึงเป็นเหมือนที่เห็นในภาพข้างบนนี้ คือ หลังจากไปอยู่ที่ประเทศสิงโปร์ 7 วัน คือพัสดุสินค้าไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ วันที่ 1 กรกฏาคม เวลา 13.21 นาฬิกา ) สินค้าก็กลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง

       ความประหลาดก็คือว่า ถ้าพัสดุสินค้าออกมาจากประเทศอังกฤษ แล้วไปหลงอยู่ที่ "ประเทศ อาหรับเอมีเรส" แล้วก็ส่งต่อ ไปหลงที่ "ประเทศ สิงคโปร์" อันนี้ยังพอเข้าใจได้ ว่ามันอาจเกิดความผิดพลาดได้ 

       แต่ในเคสนี้ มาถึงประเทศไทยแล้ว และมาอยู่ที่ด่านศุลกากรไทย ตั้ง "2 วัน" คืออยู่ด่านศุลกากรของไทย ในวันที่ 24 และ 25 กรกฏาคม

       แล้วมันจะออกไปจากด่านศุลกากรไทยอีกทีได้ยังไง? แล้วก็ไปหลงที่ "ประเทศ อาหรับเอมีเรส" แล้วก็ส่งต่อ ไปหลงที่ "ประเทศ สิงคโปร์" ในภายหลัง

       เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้จริงๆ !


       เคสนี้ ถ้าเราไป "ต่อว่าคนขาย" ว่า ทำให้เราได้รับของช้า มันก็ไม่ถูกต้อง ( คือได้รับของช้าน่ะถูกต้อง แต่จะไปว่าคนขายน่ะ มันไม่ถูกต้อง ) เพราะ ...


 ( ภาพบน ) ประวัติการสั่งซื้อ ( MY ORDERS ) 

       ( ภาพบน ) เมื่อดูจากประวัติการสั่งซื้อ ก็จะเห็นได้ว่าเราโอนเงินให้คนขายคนนี้ไปเมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 07.12.08 นาฬิกา ...


 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน เวลา 22.45 นาฬิกา

       ( ภาพบน ) จากการดูเปรียบเทียบกับสถานะสินค้าในภาพข้างบนนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า "ในวันเดียวกัน" กับที่เราโอนเงินให้คนขาย  คนขายก็เอาของไปส่งที่สนามบิน และบริษัทขนส่งที่สนามบิน ก็เข้ามารับช่วงต่อสินค้านี้เรียบร้อยแล้ว

       ก็จะเห็นได้ว่าคนขายคนนี้ "กระตือรือร้น" ดีแล้ว คือโอนวันนี้ ก็เอาของไปส่งที่สนามบินวันนี้เลย โดยใช้เวลาแค่ 15 ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น ขั้นตอนนี้ก็เสร็จสิ้น 

       ดังนั้น เราจะไปต่อว่าคนขายคนนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะเขาก็ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างดีที่สุดแล้ว คือส่งของไปสนามบินได้รวดเร็วดีแล้ว 
คือใช้เวลาแค่ 15 ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น


ได้รับสินค้าเรียบร้อยแล้ว!

ข้างล่างนี้ )

 ( ภาพบน ) สถานะพัสดุสินค้าเมื่อ วันที่ 9 กรกฏาคม เวลา 15.25 นาฬิกา

( ได้รับพัสดุสินค้าแล้วนะครับ )


 ( ภาพบน ) สภาพสินค้า มีสติกเกอร์ - บาร์โค้ด แปะมากมาย เพราะไปมาหลายที่

       ( ภาพบน ) ในที่สุด เราก็ได้รับพัสดุสินค้าแล้ว "ทั้งๆที่" เราควรจะได้รับไม่เกินวันที่ 27 - 28 มิถุนายน เพราะว่าพัสดุสินค้ามาถึงประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน แล้ว ( วันที่ 24 มิถุนายน คือวันแรกที่สินค้ามาถึงประเทศไทย - ตามที่ปรากฏในข้อมูลการแสดงสถานะพัสดุสินค้า )

       มันก็น่าแปลกที่สินค้ามาถึงประเทศไทยแล้วแท้ๆตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน และเข้าไปอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ศุลกากรไทยแล้ว แต่จู่ๆ สินค้าก็เดินทางออกไปอีก ไปโผล่ที่ "ประเทศอาหรับ เอมิเรส" แล้วก็ไปโผล่ที่ "ประเทศ สิงคโปร์"  แล้วถึงกลับมาประเทศไทยอีกครั้ง

       ดังจะเห็นได้จากในภาพของพัสดุสินค้าข้างบนนี้ ( ภาพข้างบนนี้ เป็นสินค้าตัวจริงเลยนะครับ ไม่ใช่สมมติขึ้นมา ) ที่มีสติกเกอร์ที่มี "บาร์โค้ด" หลายอัน แปะเต็มไปหมด  /  การมี สติกเกอร์ที่มี "บาร์โค้ด" หลายอัน แสดงให้เห็นถึงการเดินทางไปหลายประเทศนั่นเองครัน ทั้งๆที่จริงๆแล้ว มันควรจะมีแค่สติกเกอร์ "บาร์โค้ด" ของ ประเทศอังกฤษ แล้วก็ประเทศไทย เท่านั้น


สรุป ...

ข้างล่างนี้ )

      จากประสบการณ์การซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศมา ขึ้นปีที่ 14 แล้วนั้น บอกได้เลยว่า ตัวแปรเรื่อง "บริษัทขนส่ง" คือสิ่งที่ทำให้เราปวดหัวมาโดยตลอด 

       เพราะบางทีก็ช้ามาก คือเดินทางจากประเทศอเมริกา  มาถึงประเทศไทย ใช้เวลาถึง 40 วัน โดยที่ "ไม่ได้แวะ" ไปประเทศอื่นเลย ตามที่ได้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานในเคสนี้  http://www.tuvagroup.com/3fvhp-A-04-B-611111-2338.html 

       สำหรับเคสนี้ ( ที่คุณผู้อ่าน ได้อ่านมาในหน้าเว็บนี้ ) ก็เป็นความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีสถานะของ Tracking Number "ยืนยัน" เป็นหลักฐานให้เห็นด้วยตาอยู่แล้วว่า มันเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้วแท้ๆ ตั้ง 2 วัน และเข้าไปอยู่ในความดูแลของศุลกากรไทยแล้ว  แต่จู่ๆ พัสดุสินค้านี้ ก็ออกจากประเทศไทยไปอีก แล้วไปโผล่ที่ "ประเทศอาหรับ เอมิเรส" เป็นเวลา 2 วัน แล้วก็ไปโผล่ที่ "ประเทศ สิงคโปร์" เป็นเวลา 7 วัน แล้วถึงกลับมาที่ประเทศไทย เอาเข้าไป!

       ไม่มีเหตุผลอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ แล้วก็ไม่มีวิธีแก้ไขด้วย คือ เราอาจจะคิดว่า ถ้าจ่าย "ค่าส่งแพงๆ" แล้วจะปลอดภัย ก็ไม่ใช่แบบที่คิดนะครับ เพราะคุณก็ดูในเคสนี้ก็ได้ครับ ค่าส่งตั้ง 1,510 บาท สำหรับรองเท้าแค่ 1 คู่ ที่มีน้ำหนักเบา ก็นับว่าแพงเอาเรื่องอยู่ ( ตามปกติ ถ้าเป็นการส่งแบบทั่วไปสำหรับรองเท้า 1 คู่ ก็จะประมาณ 500 - 600 บาท )  แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์ในเคสนี้ขึ้นจนได้  /  คือ หมายความว่า ถึงคุณจะเลือกการส่งแบบแพง ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ

       ด้วยเหตุนี้ ผมถึงเน้นย้ำมาตลอดหลายปีนี้ว่า ถ้าคิดว่าจะให้ของขวัญแก่ใครสักคน โดยของขวัญนั้น เราจะต้องซื้อจากต่างประเทศล่่ะก็  ขอให้พัสดุสินค้านั้น ( ที่จะให้เป็นของขวัญ ) มาถึงมือคุณก่อน คือคุณต้องได้รับพัสดุสินค้านั้นถึงมือก่อน แล้วถึงค่อยบอก หรือรับปากกับคนที่จะรับของขวัญว่าเขาจะได้รับของขวัญวันนั้นวันนี้

       "อย่า" ไปบอกคนที่จะรับของขวัญว่า จะได้รับของขวัญวันนั้นวันนี้ โดยที่คุณยังไม่มีของอยู่ในมือเป็นเด็ดขาดนะครับ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์เหมือนในเคสที่ผมเอามาให้ดูนี้ มันจะเสียความรู้สึกทั้งฝ่ายผู้ที่จะให้ ( คือคุณ ) และฝ่ายที่จะรับของขวัญนั้น

       และก็คล้ายๆกัน คือในกรณีที่คุณทำธุรกิจซื้อสินค้าจากต่างประเทศมาให้ลูกค้าที่อยู่ในประเทศไทย คุณก็ต้อง "ไม่" ไปรับปากลูกค้าว่าจะได้รับสินค้าวันนั้น วันนี้ เพราะลูกค้าของคุณ เขาก็อาจจะไปบอกกับลูกค้าของเขาอีกทีหนึ่งว่าจะได้รับของวันนั้นวันนี้เหมือนกัน

       แล้วพอเกิดเหตุการณ์เหมือนในเคสนี้ มันก็จะเสียหายต่อธุรกิจกันเป็นทอดๆเลยนะครับ  /  ทางที่ดี ขอให้บอกลูกค้าของคุณแบบเป็นกลางๆว่า "อาจ" จะได้รับพัสดุสินค้าในวันนั้น วันนี้ และบอกด้วยว่าอาจมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นได้ ขอให้เผื่อใจเรื่องการรับพัสดุสินค้าช้าเอาไว้ด้วย - ต้องบอกลูกค้าของคุณแบบนี้นะครับ อย่าไปรับปากแบบเป็นมั่น เป็นเหมาะ เพราะถ้าผิดพลาดมา ( เหมือนในเคสนี้ ) มันจะเสียหายต่อธุรกิจของคุณครับ


- END -